นี่คือรายละเอียfกลุ่มบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อตกลงระหว่างปตท.และบริษัท Mercuria
เรากำลังพยายามหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคนกลุ่มนี้เป็นรายบุคคล
หากใครทราบรายละเอียดดังกล่าว กรุณาส่งข้อมูลมาให้เราที่บล๊อคนี้
คนกลางเรื่องข้อตกลงนี้ในเมืองไทยคือลูกจ้างของบริษัท Mercuria
ชื่อนายStarry Loo หรือ CP Loo ทีมงานหาข้อมูลของเราบอกว่านาย Loo
เป็นคนมาเลเซียและมีสายสัมพันธ์แน้นแฟ้นกับนักการเมืองไทยและคนใหญ่คนโต
คนที่ถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินของข้อตกลงนี้คือลูกจ้างของบริษัท
Mercuria อีกเช่นกัน ชื่อนาย Han Jin ซึ่งเป็นผู้คุมบริษัท Mercuria ในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค
สายสัมพันธ์ทางการเมืองที่ช่วยผลักดันข้อตกลงนี้ให้ผ่านไปได้คือนายสุวัจน์
ลิปตพัลลภ อดีตรมว.พลังงาน และเจ้าของกลุ่มบริษัทเรือบรรทุกสินค้านทลิน และประธานที่ปรึกษาพรรครวมชาติพัฒนา
และรมว.พลังงานคนปัจจุบันนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล และคนในปตท.กรรมการผู้จัดการใหญ่พีทีที โกลบอล นายบวร วงศ์สินอุดม ทั้งสามคนนี้ถูกว่าจ้างโดยนาย Starry Loo ได้รับการเสนอ
“ข้อตกลง” พิเศษผ่านทางนาย Han Jin
สายสัมพันธ์ทางการเมืองทั้งสามทำงานร่วมกันเพื่อแต่งตั้งนายดํารงค์ ปิ่นภูวดลให้ขึ้นเป็นรองประธานกรรมการผู้บริหารปตท. ในแผนกธุรกิจระหว่างประเทศ โดยที่นายดํารงค์มิได้มีประสบการณ์ที่เหมาะสมแต่อย่างใด นายดํารงค์ขึ้นดำรงตำแหน่งนี้เมื่อเดือนธันวาคมปี 2555 และได้เริ่มการผลักดันดำเนินการภายในเพื่อให้ข้อเสนอของบริษัท
Mercuria สำเร็จโดยทันที ดังนั้น นายดํารงค์ ซึ่งรู้จักในนามของ
“ผู้ปฏิบัติตามคำสั่ง” ของแผนการซื้อหุ้นบริษัท Mercuria และช่วยให้บริษัทดังกล่าวเข้ามาผูกขาดปตท.
แหล่งข่าวเราในปตท.บอกเราว่านายดํารงค์ไม่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามตำแหน่งดังกล่าว โดยเขามาดำรงตำแหน่งแทนบุคคลซึ่งมากด้วยประสบการณ์และได้รับการยอมรับอย่างสูง
ประวัติการทำงานในอดีตของนายดํารงค์ยังทำให้เกิดข้อกังขาอีกด้วย มีรายงานว่า
นายดํารงค์ได้ปรับเปลี่ยนผู้บริหารระดับล่างเพื่อการันตีว่าตำแหน่งของเขาจะไม่ถูกท้าทาย
พนักงานปตท.บางคนตั้งคำถามถึงรถหรูปอร์เช่คันใหม่ของนายดํารงค์ เราจึงอยากขอให้นายดํารงค์พิสูจน์ว่าเขาซื้อรถคันนี้มาจากไหน
และให้แสดงหลักฐานว่าเขาซื้อรถคันนั้นมาเองด้วย
เป้าหมายแรกของกลุ่ม “มาเฟีย” เกี่ยวกับข้อเสนอนี้คือการซื้อหุ้น
10-20% ของบริษัท Mercuria ซึ่งมี “มูลค่า” ราว 300-600 ล้านสหรัฐดอลล่า
โดยใช้เงินปตท.และโดยไม่คำนึงว่าบริษัท Mercuria จะมีหนี้สินราว 1
พันล้านดอลล่าสหรัฐซึ่งแทบจะไม่มีทางได้รับการจ่ายคืนเลย ข้อตกลงนี้จึงเป็นข้อตกลงที่แย่สำหรับปตท.ในทางธุรกิจ
ซึ่งยากที่จะเข้าใจว่าทำไมปตท.จึงอยากรับข้อเสนอนี้ นอกเสียจากจะมีใครคนใดคนหนึ่งได้ผลประโยชน์
เป้าหมายที่สองคือเพื่อการันตีให้บริษัท Mercuria
เข้ามาผูกขาดการซื้อขายน้ำมันดิบในโรงกลั่นน้ำมันสามแห่ง เพื่อการเข้าถึงกรรมสิทธิน้ำมันดิบของปตท.
และผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตเลียมซึ่งส่งออกจากประเทศไทยผ่านทางปตท. ถือว่าเป็นการผูกขาดทั้งวัสดุน้ำมันดิบและน้ำมันกลั่น
รวมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตเลียมซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านบาท คนไทยซึ่งเป็นเจ้าของปตท.
แทบจะไม่ได้ผลประโยชน์จากข้อตกลงกับบริษัท Mercuria นี้เลย แต่บางทีเราอาจเห็นกลุ่มผู้บริหารปตท.มีรถหรูปอร์เช่ขับมากขึ้นก็ได้
ในตอนนี้ ยังไม่มีใครทราบว่าประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ปตท. นายนายไพรินทร์ ชูโชติถาวรคิดอย่างไรกับข้อตกลงนี้ แต่มีข่าวลือว่าเขาจะคัดค้านข้อตกลงดังกล่าว
อย่างไรก็ตามนายดำรงกันนายไพลินออกไปให้พ้นทาง นั้นหมายความว่าปตท.กำลังจะตกลงไปในหลุมของ
“เหล่าแก๊งมาเฟียบริษัท Mercuria”